เทศน์เช้า วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ เวลาพระพุทธศาสนา เวลาเข้าพรรษาๆ เข้าพรรษาคือหน้าฝน หน้าฝนคือฝนตกต้องตามฤดูกาล ถ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เราจะมีอาหาร เราจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีงาม
เวลาแล้งก็แล้งจัด เวลาฝนตกแล้วมันเฉอะแฉะก็น่ารําคาญ
น่าเห็นใจนะ ผู้เฒ่าผู้แก่กว่าจะออกจากบ้านมาต้องเตรียมตัวก่อนเขา แล้วสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เราต้องดูแล นี่เป็นเรื่องของส่วนบุคคล ผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กน้อย แต่สาธารณประโยชน์ กติกา มันต้องเป็นสาธารณะ มันต้องเป็นธรรม ฉะนั้น คำว่า “เป็นธรรม” เราต้องขวนขวายก่อน เวลาขวนขวายก่อน เวลาฝนตกมันเฉอะมันแฉะ เวลาเราเดิน ถ้ามันจะลื่นมันจะล้ม เราต้องมีสติ
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง
“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ความประมาทเลินเล่อ พระพุทธศาสนาพยายามจะฝึกฝนไม่ให้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้เป็นอย่างนั้น แต่ด้วยความคุ้นชิน ด้วยความชินชา มันทำให้เราลืมตัว การลืมตัวอย่างนี้ทำให้เราเผลอ เราเผอเรอ เราเผอเรอกับชีวิต เราเผอเรอกับสิ่งต่างๆ ขึ้นมา
นี่เราฝึกฝน ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้น น้อมนำสิ่งนั้นมาให้เห็นเป็นคุณประโยชน์กับเรา
ทุกเหตุการณ์มีบวกและลบ ทุกเหตุการณ์มีคุณและโทษ สิ่งนั้นมันเป็นโทษๆ มันเป็นโทษ มันเป็นโทษกับธุรกิจ มันเป็นโทษกับทางการเกษตรบางชนิด แต่มันเป็นคุณกับชาวไร่ชาวนา เป็นคุณกับพืชพรรณธัญญาหาร
เราเกิดในเมืองร้อน เวลาเราเกิดในเมืองร้อน เราเห็นหิมะตกๆ เราอยากจะมีหิมะตก หิมะตก เราจะใส่เสื้อสวยๆ
ไอ้คนที่มีหิมะตกประเทศเมืองหนาว เขาเจอแดด เขาชื่นชมมากนะ เขาอยากเจอแสงแดด มาเมืองร้อนมานอนอาบแดดๆ ไอ้เราร้อนเกือบตาย มันอยากจะอาบแดด
เวลาคนมันคุ้นชินกับสิ่งใด สิ่งนั้นเขาคุ้นชินแล้วมันไม่เห็นบวกและลบ นี่คุณ–โทษไง
มีคนพูดมากว่าเมืองไทยเราเป็นเมืองร้อน ไม่ใช่เมืองหนาว เมืองหนาวมันไม่มีจะกิน เวลามันบีบคั้น ปลูกพืชธัญญาหารแล้วไม่เจริญ เพราะเมืองหนาวเขาดิ้นรน พอดิ้นรนเขาถึงได้ฉลาด เขาอยากให้ประชาชนชาวไทยฉลาดไง
เขาบอกถ้าเป็นเมืองหนาวมันต้องขวนขวาย มันจะฉลาดกว่าคนเมืองร้อน คนเมืองร้อนขี้เกียจ ไม่เอาไหน ไอ้นั่นเวลาเขาพูดของเขา นี่คำพูดมุมมองของโลกนะ
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการนะ เกิดในประเทศอันสมควร คนที่มีบุญกุศลเท่านั้นไปเกิดในประเทศอันสมควร
เมืองไทยมันเป็นเมืองที่ยอดเยี่ยมมาก อินโดนีเซีย รอบข้าง เวียดนามก็เจอพายุ อินโดฯ ก็เจอแผ่นดินไหว เมืองไทยมันก็มีร่องเลื่อนของโลกหมือนกัน แต่มันไม่ค่อยมีปัญหาไง มันไม่มีปัญหา
นี่เราเกิดในประเทศอันสมควร เราเกิดในชาติที่อุดมสมบูรณ์ เราเกิดในชาติที่เป็นศูนย์กลางที่ไม่มีภัยภิบัติมาก เราก็เลยนอนใจกันหมดไง แต่มันมาจากบุญกุศลนะ บุญกุศลมันมาเกิดในประเทศอันสมควร
แล้วเวลาเกิดในประเทศอันสมควร เวลาเกิดโดยธรรม เกิดโดยธรรมเกิดจากพ่อจากแม่ ถ้าพ่อแม่เป็นธรรมๆ พ่อแม่อบรมบ่มเพาะลูกเราให้ดีงาม ให้ลูกดีงามนะ ไม่ต้องไปเทียมหน้าเทียมตาเขา
นี่ต้องเทียมหน้าเทียมตา เทียมหน้าเทียมตา อยากเป็นเจ้าคนนายคน
ตอนนี้ไม่ใช่ ตอนนี้โลกนะ เขาอยากเป็นเจ้านายตัวเอง ทุกคนอยากมีธุรกิจของตน ทุกคนอยากเป็นเจ้านายของตน ไม่ต้องไปเป็นเจ้านายของใคร เป็นเจ้าคนนายคน
โอ้โฮ! เจ้าคนนายคนปวดหัวนะ เวลาคนงานของเราเขามีครอบครัว ผู้จัดการส่วนบุคคล ผู้จัดการส่วนบุคคลจะรู้ฤทธิ์เรื่องนี้ดี เวลาคนมันขาดงาน ขาดงานเพราะอะไร มันเครียดมาจากที่บ้านมาทำงาน มีปัญหามากเลย ถ้าเราจะเป็นเจ้าคนนายคน แบกรับภาระมากมายมหาศาล
แต่ถ้าเป็นเจ้านายของตนๆ เจ้านายตัวเราเองไง ถ้าเจ้านายตัวเราเอง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชนะตนประเสริฐที่สุด
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะ เวลาตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนบริหารตนเองได้ ตนเข้าใจตัวเองได้ เราจะบริหารกิจการ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ถ้าบริหารจัดการมันเข้าใจหมด เข้าใจกับตัวเรา เข้าใจกับตัวเขา
คนเราเกิดมาปากกัดตีนถีบ เกิดมามีประสบการณ์ต่างๆ ขึ้นมา มันจะเห็นใจคนไปทั่วนะ คนเราเกิดมา เกิดมาแล้วอยู่บนหัวคน เหยียบย่ำทำลายเขาไปทั่ว ไอ้นั่นก็จริตนิสัย มันก็เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม
เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในอู่ข้าวอู่น้ำ เมืองไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ จะเป็นครัวของโลก แต่ภายในบ้านเรา เราไม่รักกันจริง ถ้าเรารักกันจริงนะ เราขวนขวายไง
ดูชาวไร่ชาวนาสิ พืชพรรณธัญญาหารของเขา เขาปลูก เขาไม่กล้ากินนะ เวลาจะกิน เขาปลูกไว้ต่างหาก ไอ้ที่ปลูกไว้ขายให้ตลาด เวลาของที่ปลูกเองทำเองยังไม่กล้ากินเลย เอาไปขายท้องตลาด แต่ถ้าจะกิน ปลูกไว้หลังบ้าน นี่ไง สิ่งนี้มันเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องธุรกิจ มันเป็นเรื่องของโลก
แต่ถ้ามันเป็นคนที่มีน้ำใจนะ เรากินอย่างไร ลูกค้าได้กินอย่างนั้น เขาปลูกของเขา เขารักษาดูแลของเขา แล้วถ้ามันฟื้นฟูขึ้นมาได้นะ เหนื่อย คนทำงานนี้เหนื่อย คนทำความดีนี้เหนื่อย แต่จะเอาความสะดวก เอาความสบาย เอาความง่าย แต่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนมากๆ ผลประโยชน์ตอบแทนมากๆ ไง
แต่ถ้ามันเป็นน้ำใจของคนนะ เรายังไม่กล้ากินเลย แล้วเราจะให้คนอื่นกินได้อย่างไร แต่ก็กิน นี่เรื่องของโลกไง
แต่ถ้าจิตใจ แผ่นดินธรรม ถ้าแผ่นดินธรรมเป็นธรรมที่ดีขึ้น ถ้าดีขึ้น เรามีน้ำใจต่อกัน เราทำความดีต่อกัน มันจะดีต่อกัน
ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของนายทุน เพราะนายทุน กระแสสังคม กระแสโลกก็บีบคั้นน่ะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ถ้าล้วงกระเป๋า เออ! ดี ได้ ไอ้นั่นเป็นเรื่องของนายทุน
แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศของเราอุดมสมบูรณ์ไปทั่ว เราอยู่ของเราได้ เราทำของเราได้ เราไม่ต้องไปห่วงกับการบีบคั้นของเขา แล้วถ้าไม่ห่วงกับการบีบคั้นของเขา ถ้าเราอยู่จำนวนมากขึ้นมา จำนวนมากขึ้นมาเขาต้องฟังเสียงเรา เขาต้องเห็นความดี
ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
เวลาทำดีๆ ทำดีน่ะทำดี ทำดีคนเดียวก็ทำ ใครจะทำชั่วอย่างไร เรื่องของมัน เวลาหลวงตาท่านสอนไง ใครจะดีใครจะชั่วเรื่องของเขาว่ะ เราจะทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดี
แต่เวลาคุณงามความดีแล้วเจ็บช้ำนะ คนทำความดีไม่มีที่ยืนในสังคม แต่เราก็พยายามทำของเรา พยายามทำของเรานะ เราทำของเราเพราะเราพอใจ เราเลือกแล้ว แล้วเรามีสติปัญญา เรามีความองอาจกล้าหาญในหัวใจของเรา ถ้าเรามีความองอาจกล้าหาญในหัวใจของเรานะ เรายืนอยู่กับความดี
เห็นหลวงตาท่านพูดประจำ เราเห็นแล้วมันสะเทือนใจนะ อายุเกือบ ๙๐ กว่า ลงมาฉันที่ศาลา ฉันที่ศาลา ลงมาทุกวัน ความจริงไม่ลงมาก็ได้ พระที่อื่น ๙๐–๑๐๐ ไม่มีใครลงมาหรอก แต่ท่านก็ยังลงมา เพราะอะไร เพราะท่านทำไว้เป็นแบบอย่างไง
หลวงปู่มั่นท่านธุดงค์ตลอดชีวิต แต่เวลาหลวงตาท่านก็ทำเป็นครั้งเป็นคราว แต่ท่านไม่อวดไม่โม้ ไม่อวดใครว่าฉันเป็นผู้นำ ฉันเป็นคนเก่งกล้า ท่านไม่พูดหรอก แต่ท่านก็ทำเป็นตัวอย่าง
เวลาใครไม่ลงศาลา บอก “นั่นใคร ทำไมล่ะ เรายังต้องลงเลย”
เห็นไหม ส่วนรวมเป็นใหญ่ ความสามัคคีเป็นใหญ่ กฎกติกามันเปลี่ยนแปลงได้ แก้ไขได้ แต่ต้องลงมติเหมือนกัน แล้วลงมติแล้วอย่าฝืน ต้องทำเหมือนกัน เวลาทำเหมือนกันแล้ว ทำเพื่อประโยชน์ไง
เว้นไว้แต่เวลาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เว้นไว้แต่คนประพฤติปฏิบัติแล้วบ้า เวลาหลุด วินัยบังคับไม่ได้ ชราภาพ ป่วยไข้ วินัยอนุญาต แต่ถ้าหายแล้วต้องกลับเข้ามาอยู่ในธรรมวินัยทันทีนะ
แล้วถ้ามันซื่อสัตย์ มีความสัตย์ ถ้าเรามีความสัตย์นะ เราซื่อสัตย์กับตัวเราเองนะ มันไม่มีแผลภายใน คนไม่มีแผลภายใน มือไม่มีแผลมันจะทำอะไรก็ได้ มือมีแผลมันต้องใส่ถุงมือหลายชั้น จะทำอะไรใส่ถุงมือเยอะๆ นี่ไง เวลามันมีแผลภายในไง
นี่ก็เหมือนกัน ทำสิ่งใดแล้วเราต้องกลับเข้ามาสู่ธรรมวินัย เพราะอะไร เพราะเราเคารพบูชาไง ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้มันอยู่ในธรรมอยู่ในวินัยนี้ คือเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ผลประโยชน์คือคุณงามความดี คือความสุข คือการไม่เบียดเบียนกัน เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอำนวยพรให้เราเป็นคนดี อำนวยพรให้เราเป็นที่รักเคารพบูชาของสังคม เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผลประโยชน์มันตกกับที่หัวใจของเรา ผลประโยชน์มันตกกับการพฤติกรรมของเรา
แล้วถ้าพฤติกรรมของเราฝึกฝนบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า จริตนิสัย พระเวลาบวชแล้วต้องขอนิสัย ขอนิสัยเพื่ออะไร
เพื่อนิสัยของฆราวาส นิสัยของฆราวาสทางโลก ประชาธิปไตยๆ ต้องสิทธิเท่ากัน เวลาใครมาก็ทำเหมือนกันๆ แต่เวลาบวชมาแล้ว ครูบาอาจารย์ ขอนิสัยๆ เพราะครูบาอาจารย์ท่านฝึกทวนกระแสกลับ
พระพุทธศาสนา ปัญญาของพระพุทธศาสนาคือทวนกระแสกลับเข้าไปสู่จิตของตน ปัญญาที่มันเห็นความผิดของตนน่ะ ปัญญาที่มันค้นคว้าเข้าไปในใจของตนน่ะ ปัญญาที่บอก เฮ้ย! มึงมาเกิดทำไม มึงมาทุกข์ทำไม มึงมาทำไม นี่ปัญญาในพระพุทธศาสนาไง ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ภายในของตน นี่ไง ถ้าเรามีสติปัญญา มันเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เห็นไหม
เวลาเราเชื่อฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราประพฤติปฏิบัติของเรา แต่เวลาถ้ามันเกิดขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญาไง
เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียวในใจของตน
ไอ้เราพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เวลาเป็นจริงๆ ถ้ามันรวม มันรวมอย่างไร เวลาคนมันรวม มันต้องรวมถูกต้องดีงาม แล้วคนรวมถูกต้อง พระกรรมฐานเรามีครูบาอาจารย์ของเรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มงคลชีวิตนะ
เวลาสนทนาธรรม สนทนาแบบโลกๆ มันก็ได้แบบโลกๆ ทางวิชาการก็ได้วิชาการ วิชาการมันกระจายไปเลย ทางวิชาการ แล้วบอกทางวิชาการมันเปิดกว้าง เสรีภาพ คิดได้ทุกอย่าง ติเตียนได้ทุกอย่าง
เวลาเขาพูด พระพุทธศาสนาเขาพูดกันเยอะแยะ จะเป็นอย่างนั้นๆ
เอ็งเห็นหรือ แล้วส่งออกหมด
เวลาย้อนกลับ ย้อนกลับเข้ามาในใจของตน พระพุทธศาสนาสอนที่นี่
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราเกิดในประเทศอันสมควรนะ เกิดในประเทศอันสมควร เพราะมีพระหลายองค์หลงนะ หลงว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่เมืองไทย เพราะเมืองไทยมี ๓ ฤดู แล้วเมืองไทยมีสมอ มีมะขามป้อม
เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่เมืองไทย ในพระไตรปิฎกเขียนเหมือนเมืองไทยเปี๊ยบเลย
มันเป็นชมภูทวีป ชมภูทวีปคือไม่มีประเทศเขตแดน เขตแดนนี้มาแบ่งเอาทีหลัง ถ้าชมภูทวีป ความอุดมสมบูรณ์ สุวรรณภูมิๆ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง สุวรรณภูมิอุดมสมบูรณ์มาก อุดมสมบูณณ์มาก พอมันอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา การเมือง สังคมเข้ามาบีบคั้น เข้ามาหยิบฉวยผลประโยชน์ ประโยชน์ของเขา แต่ของเรา ประโยชน์ของเขามันอยู่ที่ยุคสมัย ยุคสมัยนี่สภาคกรรมๆ
เมื่อก่อนตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ หกสิบปีนะ เมืองไทยร่มเย็นเป็นสุขหกสิบปี นี่ถ้าเกิดมาเจอผู้นำที่ดี เจอผู้นำที่ดี เจอผู้นำที่คุ้มครองดูแล อย่างไรเขาคุ้มครอง คุ้มครองประชาชน คุ้มครองดูแลของเรา
เราเกิดมา เมืองไทยผ่านวิกฤติมา รอบข้างบ้านแตกสาแหรกขาด อพยพหลบภัยกันมาทั้งสิ้น ครอบครัวนี้แตกแยก เมืองไทยมีแต่ยุแหย่กันภายใน มีแต่อิจฉากัน มีแต่ขัดแข้งขัดขากัน นี่เมืองไทย แต่บ้านเมืองไม่เคยแตกแยก ไม่เคยแตกกระสานซ่านเซ็น นี่ไง ผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีไง
ฉะนั้น ผู้นำที่ดี เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน สอนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงแก้วสารพัดนึก ไตรสรณคมน์ของเรา เราระลึกถึงที่นั่น
ผู้นำที่ดี สาธุ ผู้นำที่เลว เอ็งก็อยู่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ เดี๋ยวเอ็งก็ไปแล้วล่ะ กัดฟันทนเอา เรามีสติมีปัญญาของเราไง ใครจะทำดีทำชั่วก็เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา
ทำคุณงามความดีของเรา เวลามันบีบคั้นมันเจ็บช้ำน้ำใจไง เวลาเจ็บช้ำน้ำใจขึ้นมา เราเข้ามาสู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นี่มันเป็นเวรเป็นกรรม เรื่องธรรม เรื่องสัจธรรมไง ทำไมต้องมาเจอไอ้นี่ล่ะ ทำไมไม่เจอพระเอก ทำไมไม่เจออัศวินขี่ม้าขาว ทำไมเจอแต่ผู้ร้ายๆ คนอื่นเขาเจอแต่พระเอกๆ ทั้งนั้นเลย ไอ้เราเจอแต่ผู้ร้ายๆ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ
ก็กรรมของเราทั้งนั้นน่ะ ก็เอ็งทำมาอย่างนั้นไง
แต่ถ้าเอ็งทำคุณงามความดีมานะ จะมีอัศวินขี่ม้าขาว โอ้โฮ! ชื่นชม แต่มันเป็นเรื่องของความคิดนะ คนที่มีสติปัญญานะ ใครทำดีแล้วก็อยากให้คนเห็นว่าเราเป็นคนดี
แต่ความจริงแล้วทำความดีทิ้งเหวสำคัญมาก ทำความดีแล้วมันจบ เราทำอะไรก็ได้ที่เป็นคุณงามความดี ทำแล้วมันจบ เราภูมิใจของเราไง เราภูมิใจ ภพภูมิในใจของเรามันประเสริฐ
ถ้าภพภูมิของใจเราแหว่ง มันแหว่ง มันไม่สมบูรณ์ไง ทำแล้วก็อยากให้คนนู้นเห็น ทำแล้วถ้ากล้องยังไม่จับ ยังไม่บริจาคก็แล้วกันแหละ ถ้ากล้องมันถ่ายแล้วบริจาคทันทีเลย
โอ๋ย! เวรกรรม
แต่ถ้าทำบุญทิ้งเหวนะ เราทำเบื้องหลัง ทำก้นพระ ทำเบื้องหลังของพระ แล้วเราภูมิใจของเรามาก เราทำความดีของเรา ทำความดีของเราแล้วไม่ติดความดีไง เพราะการที่ติดความดี อยากทำความดีแล้วคนชื่นชม
ความดีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถ้าเอามาจดจารึกกันไม่มีวันจบวันสิ้น ชีวิตหนึ่งทำคุณงามความดีมาขนาดไหน แต่ความดีถ้ามาจดมาจารึกกัน โอ้โฮ! มันเขียนไม่หวาดไม่ไหวเลย แต่ถ้าทำความดีทิ้งเหวแล้วมันอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อุทกดาบส อาฬารดาบส เพราะเราภาวนา เรารู้ เวลาคนทำคุณงามความดีอยากให้คนชื่นชม แล้วอุทกดาบส อาฬารดาบสมาเยินยอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อุทกดาบสได้สมาบัติ ๖ เหมือนอาจารย์เลย ได้สมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ คืออาจารย์เขามีความรู้แค่นั้น แล้วเขาบอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะเก่งมาก มีความรู้เท่าเราเลย เท่ากับอาจารย์ ให้สอนได้
ถ้าไม่มีวาสนานะ มันลอยไปแล้วล่ะ เพราะอาจารย์มันชม แล้วอาจารย์มันเทียบเท่ากับอาจารย์มัน แล้วอาจารย์มันให้อบรมสั่งสอนด้วย
แต่เจ้าชายสิทธัตถะส่ายหัวเลย ไม่ใช่ ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา เพราะอะไร เพราะมันเป็นฌานสมาบัติ มันเป็นอภิญญา มันเหมือนที่ว่านิมิตๆ ที่ส่งออกนั่นแหละ ไม่เอา เวลามารื้อค้น รื้อค้นเอง รื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่ระลึกอดีตชาตินั่นน่ะ จุตูปปาตญาณ สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหนท่านเห็นหมด มันไม่ใช่ แล้วมันหลอกนะเนี่ย ไอ้พวกนี้ถ้าใครติดว่ารู้ มีอำนาจวาสนา จบ พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิด
พระพุทธเจ้าไม่ได้ติดอะไรเลย ทิ้งหมด ทิ้งหมดมันมาจากไหน
พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
ไอ้พวกเราพวกขี้หมา นั่งแล้วสบายๆ สบายๆ อ๋อ! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง
นู่น มันยังไม่เห็นอะไรเลยนะ
นักปฏิบัติเอาชนะตนเอง อย่าให้กิเลสมันบีบคั้น กิเลสในบิดพลิ้ว กิเลสมันหลอกลวง เวลากิเลสมันหลอกลวงไง เวลาอาสวักขยญาณเกิดขึ้น ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ
งานชอบนี้สำคัญ งานชอบในการรื้อภพรื้อชาติ ไม่ใช่งานชอบตรากตรำทำให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ ได้คุณงามความดีก็ไปหลงมัน งานไม่ชอบ ถ้างานชอบมันสงบระงับภายใน ไม่ติดในความดีใดๆ ทั้งสิ้น ดีหรือชั่ว ข้ามพ้นดีและชั่ว ข้ามพ้นความวิเศษ ข้ามพ้นสิ่งที่เยินยอ ข้ามพ้นหมดเลย
แล้วข้ามพ้นอย่างไร พอเขายอก็หลงแล้ว เขาชมหน่อยไปเลย ลูกโป่งลอย...ไร้สาระ
ถ้าเป็นความจริงๆ เราทำบุญทิ้งเหว พยายามฝึกทำบุญทิ้งเหว คือทำความดีโดยไม่ต้องหวังผลตอบแทน ทำความดีเพื่อความดี แล้วเราจะทำความดีขึ้นไปได้เรื่อยๆ
ไอ้นี่ทำความดีแล้วจดไว้เลย โอ้โฮ! ดีแล้ว ดีมาก ดีเลิศ
มึงไม่ทำอะไรอีกแล้วใช่ไหม ไอ้ความดีๆ มันภูมิใจๆ เราทำเรื่อยๆ แต่พอทำแล้วนะ มันจืดชืด เพราะมันทำจนเคยชิน แต่ทำจนเคยชินจนมันยกวุฒิภาวะของจิตดีงามไป ทำชั่วไม่ได้เลย เพราะอะไร มันฝืนใจ มันฝืนใจ
ขอให้ทำดีเถิด ทำดี นี่ไง จริตนิสัย แล้วพอใครมายกย่องสรรเสริญ มันไม่หวั่นไหวไปกับใคร นี่สาธารณะ
อย่าติดดี อยากให้ทำดีแล้วอย่าไปติดมัน ไม่อย่างนั้นนะ ถือมีดถืออีโต้ดีมาคนละอันแล้วก็ฟันกัน มึงก็ดี กูก็ดี คนดีทะเลาะกัน อื้อหืม!
ลัทธิศาสนาเวลารบราข้าฟัน เขาบอกเอ็งลัทธิแก้ พอเห็นว่าคนอื่นทำไม่เหมือนเรานะ เอาสงครามฆ่าเขา ทำลายเขา เรื่องความเชื่อเอ็งทำลายกันเลยหรือ ก็เขาเชื่อของเขาอย่างนั้นน่ะ แต่เขาเชื่ออย่างนั้น เราก็ต้องมีสติมีปัญญาแก้ไข
นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ทิฏฐิมานะในใจนี่แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำเป็นแบบอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนสีหไสยาสน์ ไม่เคยนอนเหมือนปุถุชนแบบพวกเราเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำสิ่งใดแล้วสวยงามไปหมด แล้วไม่มีใครทำได้
หลวงตาท่านพูดประจำ ท่านเคยพูดบ่อย
“เราไม่สามารถรู้ธรรมวินัยได้ทั่วถึงทั้งหมดหรอก แต่เราจะพยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด ผิดน้อยที่สุด”
ท่านพูดอย่างนั้น “เราจะพยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด แต่จะทำให้ครบสมบูรณ์แบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ แทบเป็นไปไม่ได้”
ท่านไม่บอกว่าท่านทำดีทำงามเลย แต่ท่านพยายามจะบอกว่า เราจะทำให้ผิดน้อยที่สุด เราจะเจตนาทำให้คุณงามความดีมากที่สุด แล้วเราจะผิดให้น้อยที่สุด
แล้วเวลาเราจะทำแล้วมันก็เหรียญมีสองด้าน มีดีและชั่วใช่ไหม เวลาทำคุณงามความดีๆ ไอ้พวกชั่วมันก็ชี้ไง ผิดอย่างนู้น ผิดอย่างนู้น ผิดอย่างนั้น
ถ้าเราไปติด เราทำอะไรไม่ได้เลย
เราทำของเราสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิที่ถูกต้องดีงาม เราต้องยืนของเราไว้ เราต้องพยายามทำของเราไว้ สร้างสมหัวใจของเรา หัวใจของเราเท่านั้นน่ะ เราจะรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยด้วยศรัทธา ใส่ปุ๋ยด้วยสติด้วยปัญญาของเราให้มันเจริญงอกงามขึ้นมา ใครจะติ ใครจะด่า ใครจะนินทา เรื่องของเขา
คนโง่มากกว่าคนฉลาด ในโลกนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว มีแต่คนคอยติฉินนินทาผู้อื่น ถ้าคำพูดของเขา คนโง่พูด ช่างมัน ไม่สน
แต่เวลาครูบาอาจารย์ ฟังเทศน์ๆ กาลามสูตร อย่าเชื่อ แล้วเอาไปคิดใคร่ครวญ เราจะพัฒนาชีวิตเราอย่างไร เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ เราจะไปข้างหน้าอีกนะ เราจะมีสิ่งใดติดหัวใจเราไป ไม่ต้องให้ใครมาเคาะโลง มันจะมีอะไรติดหัวใจเราไป ถ้ามีบุญก็เป็นบุญของเรา ถ้ามีอริยทรัพย์ มีอัตตสมบัติ นั้นก็เป็นวาสนาของเขา ถ้าเป็นวาสนาของเขา เขาต้องทำได้จริง
พอทำได้จริง นี่ไง พระพุทธศาสนาไม่ว่างเปล่า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม สัจธรรมที่เราค้นคว้ากันอยู่นี้ มันอยู่ในหัวใจนี้ พุทธะเท่านั้นเป็นผู้รู้ หัวใจเท่านั้นเป็นผู้สัมผัสศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา คือหัวใจเท่านั้นที่รู้ ไม่ใช่ตา ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่การจำ ไม่ใช่ใดๆ ทั้งสิ้น เอวัง